ออกเดินทางไปเป็นนักเรียนทุนรัสเซีย
เขียนเมื่อ 2007 ณ หอพักนศ.แพทย์ RSMU เมือง Rostov on Don
สวัสดีทุกคนที่ได้รับอีเมลฉบับนี้
ภูเอง วันนี้ค่อนข้างว่างเลยเขียนเมลมาเล่าความเป็นอยู่ที่รัสเซีย พร้อมรูปถ่าย เนื่องจากออน MSN บ่อยไม่ได้ ค่าเล่นแพงมาก ๆ คิดค่าชม.แล้วยังคิดเป็นเมกกะไบต์อีก
ตอนนี้ก็สบายตามอัตถภาพ ไม่สบายเท่าที่ไทยแต่ก็พออยู่ได้ มีความสุขดี เรียนไปได้เกือบเดือนแล้ว พูดฟัง เขียน ก็พอได้นิดหน่อย แต่ก็ยังไม่รู้เรื่องอยู่ดี ช่วงนี้เวลาที่รัสเซียห่างจากไทย 4 ชั่วโมง มาเริ่มเรื่องเลยดีกว่า
เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2550 นั่งเครื่องบินการบินไทยบินตรงจากกรุงเทพฯสู่มอสโก มีเพื่อน ๆ พี่ ป้า น้า อา มาส่งที่สนามบินมากมาย รู้สึกอบอุ่นและก็ใจหายที่จะต้องจากกันแล้ว อีกอารมณ์หนึ่งก็ตื่นเต้นเพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ขึ้นเครื่องบิน ที่จริงภูต้องนั่งกับกวางแต่แป้งไปคุยอะไรกับสจ๊วตไม่รู้ เลยได้นั่งกับแป้งตรงริมหน้าต่าง เพราะแป้งบอกว่าแป้งเห็นด้านนอกเครื่องบินจนเบื่อแล้ว
ถ่ายตอนเครื่องขึ้นโดยกวาง
นั่ง ๆ ดูทีวี ฟังเพลง นอน เล่นเกม (ตรงจอที่ติดกับเบาะด้านหน้า) ประมาณ 10 ชั่วโมง เครื่องก็ลงที่สนามบิน Domodedovо เขียนงี้มั้ง จำไม่ได้ พอเครื่องลงที่มอสโกก็วิ่งหน้าตั้งไปด่านตรวจคนเข้าเมืองเลย เพราะพี่ นักเรียนทุนรุ่นก่อน ๆ บอกว่าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองทำงานช้ามาก ๆ และก็ช้าจริง ๆ กว่าจะออกไปได้เป็นชั่วโมง เขาไม่ได้ตรวจอะไรมากหรอก แต่ทำอะไรกันชักช้าและนานมาก ตอนนั้นปวดฉี่ด้วยกลั้นแทบไม่อยู่ เสร็จจากตม.แล้วเราก็ออกไปเอากระเป๋ากัน
ตอนเดินออกไปก็นึกในใจว่าไม่รู้ว่าจะมีคนมารับที่สนามบินรึเปล่า พอเดินไปได้นิดนึงก็เจอผู้ชายฝรั่งหัวทอง ๆ ชูป้ายชื่อทั้งสี่คน มี เรา กวาง แตงกวา แป้ง เราสี่คนก็เดินเข้าไปหา เขาก็ถามมาจากประเทศไทยรึเปล่า เราก็ตอบใช่ ๆ แล้วก็เดินตามเขาไป
เขาก็บอกคนที่ไปรัสตอฟให้จ่ายค่ามารับกับค่าเดินทาง 200 ดอลลาร์ ส่วนคนที่ไปวาโรเนซ 150 ดอลล่าร์ (เรากับกวางพอจะรู้อยู่แล้วว่าต้องไปรัสตอฟ Rostov state medical university ส่วนแป้งกับแตงกวาเพิ่งรู้ว่าได้ไปวาโรเนซจากฝรั่งเนี่ยแหละ ที่ Voronezh state university แป้งเรียนภาษาศาสตร์ แตงกวาเรียนนิติศาสตร์) ในใจก็คิดว่า อะไรว้าก็ในเว็บบอกไม่เกิน 150 ดอลลาร์นี่หว่า แต่ช่างมันยังไม่รู้ภาษาคุยกับใครไม่รู้เรื่อง
จริง ๆ แล้วมารู้ที่หลังว่าค่ารถไฟที่เราจะไปกันราคาประมาณไม่ถึง 50 ดอลลาร์เลย หลังจากนั้นเขาก็พาไปแลกเงินจากดอลลาร์เป็นรูเบิล ตอนนั้นอยากโทรหาที่บ้านมาก เพราะรู้ว่าคนทางนั้นเป็นห่วง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะคนที่มารับนั้นบอกค่าซิมการ์ดราคาตั้งเป็น 100 ดอลลาร์ เลยตัดใจไม่ซื้อ แล้วเราเอาซิมการ์ดไปใช้ที่เมืองที่จะไปไม่ได้ด้วย พวกเราก็เลยขอยืมโทรศัพท์เพื่อโทรไปหารุ่นพี่ชื่อ พี่จอย ที่อยู่มอสโก พี่เขาก็บอกว่าจะมาหาที่สถานีรถไฟทันทีโดยไม่รีรอ
บรรยากาศภายในสนามบินดามาเดดาว่า
ตอนประมาณ 5-6 โมงเย็น เราต้องนั่งรอรถ Railway (รถไฟแหละ) ซึ่งจะมาตอน 3 ทุ่ม เพื่อจะไปต่อรถไฟอีกขบวนที่อีกสถานนีหนึ่งตอนเที่ยงคืน พอสองทุ่มครึ่งพวกเราก็ย้ายสัมภาระของแต่ละคนไปที่สถานี Railway ที่อยู่ใกล้ ๆ สนามบิน กระเป๋าแต่ละคนใหญ่มากต้องย้ายไปกันคนละสองสามรอบกว่าจะเสร็จ ลืมบอกไปที่เราต้องนั่งรถไฟไปกัน เนื่องจากเราไปวันศุกร์ การจราจรในมอสโกติดขัดมาก ๆ เลยไม่มีทางไปรถเมล์หรือรถอื่น นั่งกันไปได้สักพักเจ้าหน้าที่ก็มาตรวจเห็นกระเป๋าแต่ละคนใหญ่มากเลยต้องเสียตังอีกคนละเท่าไหร่จำไม่ได้แต่ไม่แพงมาก
วงอะไรไม่รู้ โฆษณาบนรถ Railway รู้สึกคล้ายๆโปงลางสะออนดีเลยถ่ายมา (มันคือหนังเรื่อง AntiStupid)
นั่งไป 1 ชั่วโมงก็ถึงสถานีรถไฟอีกสถานี คนนำทางมาเขาก็ไม่รู้ว่าเราต้องขึ้นขบวนไหน เขาก็พาแบกกระเป๋าไปมา อากาศก็หนาว คอก็แห้ง เหนื่อยแทบบ้า แบกขึ้น ๆ ลง ๆ บันไดอีก สุดท้ายก็ต้องแบกข้ามไปอีกชานชลาซึ่งต้องลงทางข้ามที่ลอดใต้ดิน เขาก็พาแบกลงใต้ดินแล้วบอกให้เรารอตรงนั้นคนเดียว กลัวก็กลัววุ้ย เขาบอกกันว่ามอสโกตอนมืดอันตราย มีพวกชอบทำร้ายคนต่างชาติที่เรียกว่าสกินเฮด แต่ก็ต้องยืนไปกลัวไป
สักพักมีคนไทยเดินผ่านไป 3 คน ก็นึกในใจใช่รุ่นพี่จอยรึเปล่านะ เขาเดินผ่านกันไปแล้วสักพักเขาก็หันกลับมาถามเราว่า "น้องคนไทยรึเปล่า เพื่อนอยู่ไหนกัน" เราก็บอกว่า "อยู่ด้านบน เขาให้ผมรอตรงนี้" พวกพี่เขาก็บอกให้เรารอตรงนี้แหละเดี๋ยวพี่ขึ้นไปดูเอง แล้วเราก็ยืนคนเดียวอีกแล้ว
ช่วงนั้นขนของกันลำบากมากมาย เสร็จแล้วพี่เขาก็พาไปซื้อของกิน เพราะต้องเดินทางในรถไฟนาน ซึ่งในรถไฟมีน้ำร้อนก็เลยซื้อมาม่า (รัสเซีย) ไปกิน แล้วเราก็ต้องแบ่งกันเป็นสองกลุ่มเพราะต้องขึ้นรถไฟคนละสายกัน
แป้งกับแตงกวาไปวาโรเนซ นั่งรถไฟ 8 ชั่วโมงก็ถึงเมือง ส่วนเรากับกวางมารัสตอฟที่ต้องนั่งรถไฟ 25 ชั่วโมงกว่าจะถึง ฟังแล้วยังไม่เชื่อหูตัวเองว่าทำไมมันนานขนาดนั้น แต่ก็ไม่ทันได้คิดอะไรต่อจากนี้มากเพราะง่วงมาก เวลาตอนนั้นก็ใกล้เที่ยงคืนแล้ว แถมเกือบไม่ทันขึ้นรถไฟเพราะสัมภาระเยอะมากมาย
พอขึ้นรถไฟเสร็จเรียบร้อย เรามีกระเป๋าหนักของเยอะก็เลยเจอเก็บเงินอีก 500 รูเบิ้ลมั้ง โดนกันกระหน่ำเลย ยังไม่ทันไรเรายังไม่ทันได้เอากระเป๋าใบใหญ่ของกวางขึ้นชั้นวาง พวกพี่จอยก็ต้องออกไปเพราะรถไฟจะออกแล้ว ทิ้งให้เด็กน้อยสองคนที่ไม่รู้ภาษารัสเซียเลยยืนงง ไม่รู้จะทำอะไรกันต่อ รถไฟที่เราขึ้นกันเป็นตั๋วแบบนอนสองชั้น เราทั้งคู่ได้นอนข้างบน วางของข้างล่างไม่ได้เพราะคนข้างล่างไม่ยอมยังไงก็ต้องเอาขึ้นไปเหนือหัวของเราไปอีก เลยไปขอความช่วยเหลือจากคนดูแล (ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร) เขาก็พูดอังกฤษไม่ได้ คนจากเตียงตรงข้ามก็เลยมาช่วย เขาพูดอังกฤษได้ เขาบอกให้เอาของออกบ้างแล้วช่วยกันยกขึ้นไปใหม่อีกทีก็สำเร็จ
แล้วตอนที่เราก็กำลังจะนอนเพราะง่วงมาก ไม่ไหวแล้วเดินทางมานานหลายชั่วโมงยังไม่ได้นอนเลย คนดูแลคนเดิมเขาก็มาตรวจตั๋วแล้วขอตั๋ว เราก็บอกว่าคนที่มาส่งเราให้ไปแล้วไงก่อนที่จะขึ้นมานี่ เขาก็พูดรัสเซียกลับมาจะเอาตั๋วให้ได้ เราทำท่าว่าไม่มีตั๋ว ไม่ได้อยู่ที่เรา เขาก็เลยเดินไป แล้วสักพักเขาก็เอาหางตั๋วมาให้ ไม่เข้าใจเขาเลยจริง ๆ ว่าทำงานกันยังไง
บรรยากาศภายในรถไฟ เป็นบล็อค บล็อคละสี่คน ข้างละสองชั้น
พอ 8 โมงเช้าก็ตื่นขึ้นมาเพราะกลัวนอนยาวแล้วรถไฟวิ่งเลยเมืองที่เราต้องลง ตอนก่อนจากจากพวกพี่เขาก็ถามแล้วว่า "เราจะรู้ได้ไงว่าถึงแล้ว" พวกพี่เขาบอกว่า "เดี๋ยวก็มีคนมาบอกเองแหละ เขาส่งนักเรียนมากันหลายปีแล้ว(หมายถึงทุนนี้)" แต่เราก็ยังกังวลใจ 25 ชั่วโมงจริง ๆ เหรอ จากที่ดูในแผนที่เมืองรัสตอฟที่เราจะไปน่าจะห่างจากวาโรเนซเท่ากับวาโรเนซห่างจากมอสโก ซึ่งจากมอสโกถึงวาโรเนซก็แค่ 8 ชั่วโมง ถ้าตามที่เราคิดจากมอสโกถึงรัสตอฟก็น่าจะแค่ 16 ชั่วโมงนี่นา
กวางก็พยายามถามคนในรถไฟว่า เมื่อไหร่จะถึงรัสตอฟ แต่ก็ไม่ได้คำตอบเพราะคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ก็เป็นนักท่องเที่ยวซึ่งไม่เคยไปรัสตอฟเหมือนกัน คนที่รู้ก็พูดได้แต่ภาษารัสเซีย กวางได้ไปถามป้าคนรัสเซียคนหนึ่ง ป้าเขาก็ใจดีอธิบายให้ฟังเป็นภาษารัสเซีย แต่ยังไงก็ไม่เข้าใจ ป้าเขาก็ยังพยายามอธิบาย สุดท้ายแล้วก็เดินยิ้มจากไป
เราก็เลยไปนั่งกันตรงบล็อคว่าง ๆ ริมหน้าต่าง พอสาย ๆ ก็ไปนอนพักต่อ แล้วก็ตื่นมาเจอว่าที่นั่งโดนแย่งไปแล้ว ก็เลยไปยืนดูวิวตรงแถวเครื่องทำน้ำร้อน ป้าอีกคนที่เป็นเพื่อนกับป้าที่กวางเคยไปถามว่ารัสตอฟถึงเมื่อไหร่มาเห็น ก็มาเราถามว่าประมาณว่า ไม่ไปนอนพักเหรอ พวกเราก็ส่ายหน้ากันอย่างเดียว ป้าแกก็เลยไปจัดการไล่คนที่แย่งที่นั่งริมหน้าต่างให้แล้วเรียกเราไปนั่ง ลืมบอกไปว่าตลอดทางเรากินแต่มาม่ากัน น้ำก็ยังไม่ได้อาบเลยจึงได้แต่คิดว่า ถ้าไปถึงแล้วอะไร ๆ อาจจะดีกว่านี้ น่าจะได้อาบน้ำให้สดชื่น สักพักป้าคนเดิมก็เอาช็อคโกแลตมาให้กินคนละเม็ด
ป้า ๆ ในรถไฟนี้ทำให้เรารู้ว่าอย่างน้อยเราก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกนี้ แล้วคนรัสเซียก็ไม่ได้แย่ไปหมดทุกคนเหมือนที่เคยได้ยินมาแต่เรื่องแย่ ๆ
ตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่าเราจะถึงตอนตีหนึ่งกว่า ๆ จริง เพราะไปยืนดูตารางเวลาเวลารถไฟแล้วเทียบ ๆ กับเวลาปัจจุบันเอาบวกกับเดา ๆ จนค้นพบว่า 25 ชั่วโมงถึงจริง ๆ เลยนั่งรอเวลารถไฟถึงที่หมายกันในคืนนี้
ระหว่างทางที่รถไฟผ่าน
บางทีรถจอดเราก็ลงไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง เพราะบางสถานีจะจอดนาน บางทีก็ซื้อขนมจากลุงเข็นขายในรถไฟ ครั้งนึงซื้อนมมาคล้าย ๆ นมเปรี้ยวแต่รสชาติเหมือนโยเกิร์ตบูดกินไม่ได้เลยต้องทิ้ง (ตอนนี้มารู้แล้วเค้าเรียกว่า Kefir) ลืมบอกไปนี่ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เคยนั่งรถไฟ (ยกเว้นรถไฟฟ้านะ)
ช่วงมืด ๆ อากาศก็เริ่มหนาว ป้า ๆ ก็มาถามไม่ไปนอนหรอ ก็บอกว่าเราใกล้จะถึงแล้วไม่อยากนอน ไม่รู้แกเข้าใจเปล่านะ ฮ่า ๆ แกก็เลยบอกให้ไปเอาผ้าห่มมาห่มสิมันหนาวนะ แต่เราก็ไม่ไปเอาผ้าห่มมากัน สักพักกวางก็นั่งหลับ ป้าเขาก็ไปเอาผ้ากับหมอนมาให้ พอใกล้ถึงสถานีเราก็ปลุกกวางแล้วไปเอาสัมภาระไปรอหน้าประตูทางออก
สักพักก็ถึงสถานีเราก็ขนของลง เจ้าหน้าที่จากมหาลัยก็มายืนรอ ไม่ช่วยอะไรยืนมองเฉย ๆ เวรกรรมจริง ๆ แล้วก็บอกให้จ่ายค่าช่วยขนของลงให้คนดูแลบนรถไฟ 150 รูเบิ้ล เราก็เลยงงสิอะไรว้าขนลงกันเอง ทำไมต้องมาจ่ายอีกให้ตายเหอะ
แล้วก็แบบเดิมลาก ๆ เข็น ๆ เจ้าหน้าที่ก็ไม่ช่วยอะไรเลย เราต้องลากกระเป๋าใหญ่ของตัวเองกับกวาง แล้วก็ไปขึ้นแท็กซี่หน้าสถานีรถไฟ รถก็แคบ ๆ เก่า ๆ แต่ก็ดีใจที่จะสิ้นสุดการเดินทางแล้ว ไม่นานเราก็มาถึงที่คล้าย ๆ สวนสาธารณะ ตึกข้างหน้าโทรม ๆ เป็นอิฐไม่ได้ทาสี ซึ่งตอนนี้ก็ตีสองแล้ว มืดมาก พื้นถนนก็แบบว่าสกปรกสุดเหมือนผ่านสงครามกลางเมืองมา เศษแก้วแตก เศษขยะเต็มไปหมด
พอเข้าไปข้างในตาเจ้าหน้าที่ก็ทวงตังค่าแท็กซี่ที่ไปรับเรามา จำไม่ได้เท่าไหร่ น่าจะประมาณ 600 รูเบิ้ล ตังที่เอามาอันน้อยนิดก็โดนสูบไปแทบหมดตัว จ่ายเงินเสร็จตานั่นก็พากวางขึ้นไปก่อน กวางอยู่กับคนปากีสถานเพิ่งมาได้สี่วัน ส่วนเราตานั่นบอกอยู่กับคนอเมริกาใต้ไม่บอกประเทศ แต่พอเข้าห้องไปเจอแต่แมลงสาบวิ่งเพ่นพ่านไม่มีวี่แววคนเลยสักนิด
หอพัก หมายเลข ๒ ของ ม.แพทย์ รัสตอฟ
พอวางของเสร็จเราออกจากห้องแล้วก็ขึ้นไปชั้นสอง ชั้นนั้นมีแต่คนอินเดียเป็นส่วนใหญ่ เขาก็เข้ามาทักทาย คนนึงชื่อ ชีวา(แปลว่าชีวิตรึเปล่านะ) มาช่วยคุยกับทางเจ้าหน้าที่ให้เพราะภาษาอังกฤษของเจ้าหน้าที่นั่นก็ไม่ค่อยแข็งแรง ชีวาแปล ๆ เป็นอังกฤษว่า "พรุ่งนี้แปดโมงให้ไปที่ออฟฟิศเจ้าหน้าที่" เราก็ถามกลับไปว่า "อยู่ที่ไหน" ชีวาก็บอกว่า "เดี๋วพรุ่งนี้พาไป" พอเรารับเครื่องนอนเสร็จก็ชีวาก็จัดแจ้งอธิบายที่ทาง ห้องน้ำทางนี้ ห้องอาบน้ำทางนี้ ซึ่งพอเห็นแล้ว โอ้วพระเจ้า นี้หรือห้องน้ำที่เขาว่ากัน แต่ชั้นสองเป็นห้องน้ำของผู้หญิง ผู้ชายใช้ชั้น สาม สี่ ห้า ก็พอได้นะ (-_-“)
หลังจากนั้นพี่แอฟริกาจากไหนไม่รู้เขาก็มาคุยกับเราเป็นภาษารัสเซียแต่พอเห็นเราไม่รู้เรื่อง เขาก็ถามว่าพูดอังกฤษได้ไหม แล้วเขาก็ไปเรียกเพื่อนมาคุยให้ แต่ก็งง ๆ อยู่ดี แล้วก็มีอินเดียอีกคนเข้ามาคุยอีก เขาก็เลยถาม ๆ เราว่า มาจากไหน เรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษหรือรัสเซีย แล้วตบท้ายว่า ก็บอกมีอะไรก็เรียกเขาให้ช่วยได้ พี่แอฟริกาก็บอกเหมือนกันว่าเรียกให้ช่วยได้นะ เราก็เลยคุยกับกวางเพราะเห็นว่ากวางมีเบอร์โทรรุ่นพี่คนไทยที่อยู่ที่นี่ พี่เขาชื่อพี่มุกได้ทุนมาเมื่อปีที่แล้ว เราสองคนก็เลยขอยืมโทรศัพท์จากคนอินเดีย
พี่มุกก็รับแบบงง ๆ ว่าพวกเราเป็นใคร โทรมาได้ไง เราก็เลยแนะนำตัวไป พี่เขาก็รับปากว่าพรุ่งนี้จะมาหาตอนเช้าแล้วก็ถามว่า ตอนนี้กี่โมงแล้ว เราก็บอกไปว่าตีสาม พี่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้วก็วางไป พี่เขารู้ว่าหอนี้ที่เราอยู่ อยู่ไหนเพราะปีที่แล้วก็มีรุ่นพี่คนไทยคนหนึ่งมาเรียนอยู่ที่นี่ แต่ย้ายได้ไปเมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์กแล้ว (ทุนแพทย์นี้ หลังจบปีเตรียมพื้นฐานแล้ว นักเรียนจะถูกส่งไปเมืองอื่น ๆ เรามีสิทธิ์เขียนว่าอยากได้เมืองไหน แต่ทางกระทรวงเขาก็คงไม่ดูหรอก ส่งตามที่มีที่เรียนว่างมากกว่า)
เราก็สงบจิตสงบใจนอนกับแมลงสาบ นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ เพราะไม่ชินเลย พอเช้าก็ลุกมาแต่งตัว เตรียมเจอพี่มุก ตอนนั้นอยากย้ายหอมากเพราะห้องส้วม ห้องน้ำไม่ไหวแล้ว ที่เราตั้งใจไว้ว่าถึงหอแล้วจะอาบน้ำ แต่อาบไม่ลงเลย ได้แค่ล้างหน้าแปรงฟัน พอสาย ๆ หน่อยพี่มุกก็มาถึงแล้วก็ถามสารทุกข์สุกดิบ เราก็ถามเรื่องหลักเลยว่า เราสามารถย้ายหอได้มั้ย พี่เขาก็บอก ไม่ได้หรอกน้อง ยังไงก็ไม่ได้ ถ้าไปอยู่ที่อื่นไม่รู้ภาษรัสเซียทางมหาลัยก็ไม่ให้อีกแหละ
พี่เขาก็เลยพาเข้ามหาลัยไปหาออฟฟิศรับนักศึกษา แต่วันนั้นดันเป็นวันอาทิตย์ก็เลยปิดทำการ แล้วตานั่นบอกให้มาทำไมวันนี้เนี่ย พี่มุกก็เลยพาไปซื้อซิมการ์ดแล้วก็บัตรโทรศัพท์ต่างประเทศแถวหอเขา เพราะถ้าใช้โทรศัพท์โทรกลับบ้านตรง ๆ ค่าโทรจะแพงมาก ๆ ต้องใช้บัตรโทรทางไกลต่างประเทศ แล้วพี่ก็พาไปอาบน้ำที่ห้องเค้า
ลืมบอกไปว่าหอที่นี่อยู่รวมชายหญิง แต่ห้องไหนชายก็ชาย หญิงก็หญิง ไม่ปน แต่ถ้าเป็นสามีภรรยากัน เขาก็ไปอยู่ห้องเดียวกัน หอพี่เขาเพิ่งซ่อมแซมใหม่ หรูมาก ๆ เกือบ ๆ โรงแรมเลย มีห้องน้ำในตัว มีครัวในตัว เห็นแล้วแบบอยากอยู่บ้างอ่ะ เทียบกับหอเราอยู่ไม่ได้เลย สวรรค์กับนรกยังไงยังงั้น
กวางไปอาบก่อน เราก็เลยนั่งโทรหาแม่ก่อน โทรบอกแม่ว่า ถึงแล้วนะ แล้วเราก็จะร้องไห้เลย อยากกลับบ้านมาก ๆ ความรู้สึกตอนนั้น หอมันแย่แบบสุด ๆ แล้วในชีวิต ไม่รู้จะอยู่ยังไงอ่ะ แต่อาบน้ำกับเสร็จไม่นานก็ต้องพากันออกมาเพราะคนดูแลหอไม่ให้อยู่นาน แล้วพี่เขาก็พากลับหอพักเรา พี่มุกบอกว่า พรุ่งนี้พี่ไม่ว่าง เดี๋ยวให้พี่บาสเป็นพี่อีกคนที่เรียนที่นี่ปีสุดท้ายจะกลับไทยแล้ว เขาจะพาไปลงทะเบียน ตรวจร่างกาย ทำเอกสารให้นะ
ช่วงนี้เราก็กินแต่มาม่าที่เอามาจากไทย บางทีก็ไปซื้อขนมปัง ฮอทด็อก มากิน ตอนซื้อของ พูดไม่รู้เรื่องก็ชี้ ๆ ว่าจะเอาอันไหนแล้วชูนิ้วบอกจำนวนเอา พอวันรุ่งขึ้นพี่บาสก็มาพาไปหา Dean เป็นคณบดีดูแลคณะเตรียมแพทย์ของมหาลัย ดีนก็บอกให้ไปทำประกันสุขภาพ 2,500 รูเบิ้ล ที่ตึกสีขาว ๆ ข้าง ๆ หอที่เราอยู่ แต่ยังไงก็หาไม่เจอ พี่เขาเลยไปถามคนแถวนั้นเขาก็บอกไม่รู้ หลังจากคิดไปคิดมาแล้วก็เห็นตึกเทา ๆ ก็คิดว่าน่าจะใช่ พอไปถึงก็ใช่จริง ๆ ด้วย (มันขาวตรงไหนเนี่ยไม่ได้ทาสีเลย)
พอเข้าไปก็เป็นโพลี่คลีนิกให้เราตรวจสุขภาพ พี่บาสก็เข้าไปแปลให้ หมอก็ถามซักประวัติแล้วให้ขวดมา 2 ขวดใส่ฉี่กับอึ บอกให้เราเอามาส่งพรุ่งนี้ที่ตึกขาวตึกเดิมที่เราเห็นเป็นสีเทา แล้วพี่บาสก็พาไปเจาะเลือดที่โรงพยาบาลแถวหอพี่มุก เพื่อตรวจเอดส์ -_-” หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้วเลยกลับหอ
วันนี้ก็ยังทำใจอาบน้ำยังไม่ได้เลย ประตูก็ไม่มีจะอาบยังไง วันรุ่งขึ้นก็เอาฉี่กับอึไปส่งแต่ส่งไม่ได้เขาบอกว่าต้องมีใบส่งตรวจก่อน เราก็งงกันว่าใบไหน ไป ๆ มา ๆ ก็ไม่ได้ส่ง จนแล้วจนรอดผ่านไปเดือนนึงถึงได้ส่งและตรวจร่างกายเสร็จ ยังไงก็ต้องขอบคุณพี่มุกกับพี่บาสที่สละเวลามาช่วยพาไปนู่นไปนี่
หลังจากนั้นวันศุกร์ก็ได้เริ่มเรียน เราได้เรียนกับพวกจากแอฟริกาสี่คน อิรัก อิหร่าน อิสราเอล แล้วก็กวาง แต่พอวันจันทร์ครูเขาก็บอกว่าไม่ต้องมาเรียนแล้วให้ย้ายไปอีกกลุ่มที่กำลังจะมาใหม่ ก็เลยต้องรอไปประมาณหนึ่งสัปดาห์กว่าจะได้เริ่มเรียนเพราะรอคนในกลุ่มใหม่ตรวจร่างกายให้เสร็จ
ช่วงปลายสัปดาห์ที่รอเริ่มเรียน เราก็มีรูมเมทใหม่เข้ามาตอนเที่ยงคืน มาเคาะปัง ๆ นึกว่าจะพังประตู ตอนนั้นไฟที่ห้องก็เสียแล้วอยู่ ๆ ก็ดับเอง ห้องก็เลยมืด ๆ พี่แกก็เข้ามาแล้วบอก นักเรียนใหม่จากเวียดนาม พวกนี้เขารักกันดีมาก รุ่นน้องมาก็ไปรับกันเกือบหมดทั้งมหาลัยเลยมั้ง เราไม่มีรุ่นพี่ที่มหาลัยเลยก็แย่ไป (ตอนหลังก็ได้มารู้ว่าไม่ว่าจะมาเรียนมหาลัยไหนในรัสตอฟ สมาคมนักศึกษาเวียดนามในรัสตอฟก็จะแห่ไปกับหมดทุกคนเพื่อไปรับรุ่นน้อง อบอุ่นมาก) พี่มุกก็เรียนเกี่ยวกับโฆษณาอีกมหาลัยหนึ่ง พี่บาสก็เรียนมหาลัยหนึ่งเกี่ยวกับวารสารสิ่งพิมพ์ แต่ยังไงพี่เค้าก็มาช่วยแหละ
เวียดนามมาใหม่ 3 คน ตอนนี้ห้องก็เลยเต็ม ผู้หญิงเวียดนามอีกคนไปอยู่ห้องกวางกับปากีสถาน กวางกับปากีสนิทกันมาก เค้าชอบไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วไม่ชวน น้อยใจเหมือนกัน ฮ่า ๆ ก็เลยไปเดินคนเดียวบ้าง
หลังจากรอมานาน ประมาณวันจันทร์ที่ 8 ตุลาคมมั้ง ก็เริ่มได้เรียนอีกครั้ง คราวนี้เจอพี่แอฟริกาจากแซมเบีย 5 คนเลย เป็นชายล้วน กวางก็เลยสวยที่สุดในห้อง ครูคนใหม่นี้พูดภาษาอังกฤษคล่องมาก ส่วนแซมเบียก็ใช้เป็นภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ กลุ่มเราก็เลยเป็นกลุ่มที่เรียนโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เราก็เลยแบบด้อยไปเลยเพราะทักษะ พูด เขียนภาษาอังกฤษนี่ไม่ค่อยได้เลย ส่วนกวางก็ฟังรู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง ตอนครูบ่นส่วนใหญ่ต้องนั่งแปลให้เจ๊แกฟัง เจ๊แกจะฟังออกเป็นบางท่อน
ช่วงแรก ๆ ครูต้องดูแลการประกวดอะไรสักอย่าง เลยเข้า ๆ ออก ๆ ห้องบ่อย ๆ เพราะมีนักเรียนมาช่วยให้ซ้อมการแสดง ซึ่งที่จริงแล้ววันนึงต้องเริ่มเรียน 11 โมงเช้า ถึงบ่าย 2 แต่ได้เรียนจริง ๆ ชั่วโมงเดียวซะงั้น ก็เข้าใจได้ แต่เรื่องฟังยังไม่ค่อยคุ้นหูเพราะครูพูดไว ๆ ฟังไม่ทันเพราะครูพูดแต่อังกฤษเป็นส่วนใหญ่
ส่วนช่วงที่เขียนจดหมายนี้ครูก็อยู่สอนได้ตลอดแล้วเพราะเลยช่วงประกวดไปแล้ว เรียนเริ่มหนักขึ้น การบ้านมีทุกวัน มีสอบพูดหน้าชั้น สอบเขียนตามคำบอก เป็นเนื้อเรื่องก็มี เริ่มเรียนเลขแล้วด้วย
ทุกวันนี้ก็กินข้าวกับรูมเมตที่เป็นเวียดนาม แชร์ตังกันออกครั้งละ 600 รูเบิ้ล ถ้าเงินหมดก็ลงขันกันใหม่ ซึ่งจริงๆแล้วสัปดาห์นึงก็หมดแล้วแหละ ลืมบอกไปหลังจากอยู่ที่หอพักหมายเลข 2 ได้ไม่นานก็ต้องย้ายไปหอพักหมายเลข 1 ซึ่งอยู่ข้าง ๆ กัน ย้ายกันวันศุกร์ก่อนประมานต้นเดือนตุลาคม สภาพห้องเฉย ๆ แต่ห้องน้ำห้องส้วมโอเค สะอาดกว่า (ที่เดิมนิดนึง) แต่ก็ไม่มีประตูห้องอาบน้ำอยู่ดี ห้องส้วมก็ชักโครกแล้ว สกปรกบ้างตามคนใช้อ่ะ ห้องอาบน้ำ ซักผ้าห้องเดียวกัน เวลาอาบน้ำต้องเอาม่านไปปิดแล้วต้มน้ำใส่กะละมังอาบ ห้องครัวก็สะอาดดีกว่าที่เก่า ทุกอย่างก็เริ่มโอเคเข้าที่เข้าทางแหละ หอนี้ไม่ค่อยมีพวกอินเดียอยู่ด้วยแหละ เลยสะอาดมั้ง
ภูวดล วิรุฬห์ลือชา ลงเว็บ 21/10/2010
ตึกทาสีแดงหอใหม่ – ตึกไม่ได้ทาสีหอเก่า
ปุชกิ้นสกาย่า ถนนข้างๆหอ เป็นถนนกึ่งสวนสาธารณะ ให้คนเดินเล่น
ถนนปุชกิ้นสกาย่า – ถ่ายวันแรกตอนนี้รอพี่มุกอยู่
ตึกที่เห็นข้างๆคือหอเก่า ด้านขวาคือปุชกิ้นสกาย่า
อีกมุมนึง เมื่อเดินตรงเข้ามา
ตรงนี้ห่างจากหอพอสมควร ว่างๆมาเดินเล่นคนเดียวเลยถ่ายไว้
โรงหนังบนถนนปุชกิ้น ข้างๆหอเช่นกันไม่ไกลมาก
เดินตรงมาไกลพอสมควรจะเห็นห้องสมุดประจำเมืองที่ถนนนี้ ยังไม่เคยเข้าไปเลย
ตึกแดงๆด้านหลัง คือหอพักที่เราอยู่ตอนนี้ ถ่ายจากสวนตรงข้ามหอ มีทั้งสวนสนุกและสวนสาธารณะ
มาเดินเล่นกับพวกแซมเบีย เสื้อดำๆนั่นชื่อ Kingsley
ที่เดียวกันแต่อีกมุมนึง
Ростовский Государственный Медицинский Университет
รัสตอฟสกี้ กะซูดารสทเวนนึย เมดดิซินสกี้ อูนิวีรสิเทียท
Rostov State Medical University
รูปนี้ถ่ายหน้าตึกเรียนเตรียมภาษา
ข้างในตึกชั้นที่เรียน คนที่นี่ชอบต้นไม้มาก มีต้นไม้ทุกห้อง ไม่เว้นห้องตรวจในโรงพยาบาล
บรรยากาศภายในห้องเรียนระหว่างพักเบรก
อีกตึกนึง แต่รู้ว่าใช้เรียนอะไร มหาวิทยาลัยที่นี่ ตั้งตึกเรียนกระจายมากๆ ห่างกันเป็นกิโลก็มี
ด้านหน้าตึก
ถ่ายจากบนหอ เป็นตึกโรงพยาบาลและอาคารเรียน วันที่ถ่ายฝนตกนิดหน่อย
ตลาดใกล้ๆหอพัก เดินเลยโรงหนังไปนิดนึง
ตลาดที่เดียวกันแต่ส่วนนี้ขาย ผัก ผลไม้
ตลาดใหญ่ใกล้มหาลัยและหอพัก ตึกที่เห็นเป็นโบสถ์
ตรงนี้เป็นกลางเมือง สวยและคนเยอะมากๆ
ตรง นี้ตลาดใหญ่มากๆ คล้ายๆจตุจักรบ้านเรามาซื้อรองเท้าหนาๆกับเสื้อสเวตเตอร์เพิ่มกับพวกแซมเบีย ต้องนั่งรถเป็นชั่วโมงกว่าจะถึง ตั้งอยู่ชานเมือง
รูปสุดท้ายเป็นแกงเขียวหวานที่ทำให้แซมเบียลองชิม กวางใส่พริกเยอะมาก ทำเอาเราเหงื่อแตก แซมเบียร้องไห้เลย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น