นั่งเครื่องบินครั้งแรกก็ต้องนั่ง 10 ชั่วโมงเลยเหรอ – ซีรี่ส์เรียนในรัสเซีย ตอนที่ 4
เขียนไว้เมื่อวันที่ 13/05/2010 ณ เมืองตูลา ประเทศรัสเซีย
กลับมาเล่าต่อถึงวันที่ไปทำวีซ่าและวันที่เริ่มพลัดพรากจากประเทศเกิดครั้งแรกครับ (ครั้งแรกจริงๆครับแม้แต่ลาว พม่า เขมรยังไม่เคยไปเลย)
ช่วงที่คุณเดนิส (เจ้าหน้าที่สถานทูต) ส่งจดหมายเชิญเข้าไปทำวีซ่าที่สถานทูตรัสเซียบนถนนทรัพย์ ผมก็ได้โทรเข้าไปหาคุณแป้งเพื่อถามว่าได้รับอีเมลหรือยังในอีเมลมีชื่ออยู่ด้วยนะ คุณแป้งก็บอกว่า ยังเลยแต่ก็จะเข้าสถานทูตพร้อมกับผม คุณแตงกวาและคุณกวางด้วยเพื่อไปทำวีซ่าและขอใบรับรองว่าได้ทุนเพื่อนำไปพักการเรียนกับทาง มธ. เผื่อถ้าไปแล้วไม่ไหวจะกลับมาเรียนต่อก็ทำได้
วันที่ผมเข้าสถานทูต ผมติดรถคุณพ่อคุณแม่แตงกวาซึ่งมีคุณแตงกวาไปด้วย ไปเจอคุณแป้งที่สถานทูต (ประตูทางเข้าทำวีซ่าจะอยู่ด้านข้าง ถ้าหาไม่เจอลองถามยามได้ครับ) คุณกวางบอกว่าติดธุระมาไม่ได้เดี๋ยวจะเข้าไปวันรุ่งขึ้นคนเดียว เราสามคนเข้าไปในสถานทูตก็เจอเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง ก็ได้ไปถามไถ่ได้ความมาว่า ชื่อคุณอาร์ท จะไปเรียนแพทย์ที่วาโรเนช (Voronezh state medical academy) ผ่านทางเอเจนซี่ แต่ต้องเข้ามาทำวีซ่าเอง
ซึ่งคุณอาร์ทได้ให้ข้อคิดกับผมจำได้จนทุกถึงวันนี้ครับ ผมบอกไปว่า ผมกลัวพวกสกินเฮดหรือนีโอนาซีมาทำร้ายร่างกายขณะที่ผมเรียนอยู่รัสเซีย แต่คุณอาร์ทก็บอกว่าพวกเหยียดอ่ะไม่ว่าที่ไหนก็มี แล้วแต่ดวงว่าเราจะเจอไหม ยุโรปก็มี อเมริกาก็มี ผมก็เห็นด้วยและมีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อไปมากขึ้น หลังจากนั้นเราก็ได้แลกเบอร์อีเมลติดต่อกันกับคุณอาร์ท
การทำวีซ่าสมัยผมนั้นเตรียมแค่เงินสด และพาสปอร์ต ส่วนเอกสารอื่นๆทางสถานทูตมีครบอยู่แล้วเพราะเราเป็นเด็กทุน
หลังจากนั้นผมก็ไปซื้อกระเป๋าเดินทาง และเสื้อผ้าพวกลองจอน สเวตเตอร์ ที่ตลาดการบินไทย (ผมก็จำไม่ได้แล้วว่าไปทางไหน เคยไปครั้งเดียวเอง) เสื้อกันหนาวก็ซื้อหนา ๆ หน่อย อย่าไปเชื่อคนขายมากครับ บางร้านไม่ค่อยรู้จริงว่าตัวไหนกันหนาวได้แค่ไหน ถ้าจะซื้อเสื้อผ้ากันหนาวหาที่มันถักทอถี่ๆหน่อยครับเวลาลมพัดจะได้ไม่ผ่านลอดรูเสื้อมาทำร้ายร่างกายเรา
ผมใช้เวลาเตรียมตัวนี้สองสัปดาห์และพยายามท่องตัวอักษรรัสเซียให้ได้หมด (ซึ่งมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยหลังจากมาถึงแล้ว) ทำการพักการเรียนที่ธรรมศาสตร์ (เผื่อผมเรียนที่รัสเซียไม่ได้และอาจจะกลับไปเรียน มธ ต่อ) และได้โทรและแชทบอกเพื่อน ๆ ว่า ผมจะไปเรียนต่อที่รัสเซียแล้วนะ จะมาส่งผมด้วยกันไหมที่สนามบินสุวรรณภูมิ รวมถึงญาติ ๆ ก็ได้โทรบอกกันหมด
เพื่อนภาควิชากายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (รวมถึงคุณเบลล์ และเพื่อน ๆ เทคนิคการแพทย์อีกหลายๆคน) สร้างความประทับใจให้ผมอย่างมากเพราะทั้งภาควิชาหลังเลิกเรียนไปเลี้ยงผมที่ร้านอาหารใกล้มหาวิทยาลัย ซึ้งจริง ๆ ครับ
เป็นเหมือนกันไหมครับ คืนก่อนวันที่จะออกเดินทางพยายามหลับแล้วแต่ก็หลับไม่ลง มันรู้สึกเกร็ง รู้สึกตื่นเต้น สับสนไปหมดเลย แถมยังต้องตื่นเช้าอีก ทางคุณพ่อผมได้เช่ารถตู้ไว้ให้เพื่อที่จะพาบรรดาสมาชิกครอบครัวไปส่งผมที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก็มือใหม่กันทั้งบ้านไม่รู้เลยว่าไปทางไหนอะไรยังไง ก็ต้องดูจากตั๋วเครื่องบินและโทรถามคุณแป้งเอา
พอไปถึงสนามบินสักพักก็มีญาติ ๆ มาสมทบเพิ่มด้วย ไม่ว่าจะเป็น ยายเพียรของผม น้านิด น้าแดง น้านก น้องจอย และคนอื่น ๆ อีก รวมไปถึงเพื่อนๆแสดดำ ราชวินิตบางแก้ว 6/10 ธำรงชาติ รวมไปถึงคุณพี่ตูน ที่คอยให้คำปรึกษาในขณะที่ผมศึกษามัธยมปลาย มากันอย่างคับคั่งเลยครับ ไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าเพื่อน ๆ จะมาส่งผมเยอะขนาดนี้
ผมจากลาเพื่อนๆด้วยน้ำตาคลอเบ้า และเปล่งเสียงพร้อมน้ำตาคลอเบ้าออกไปว่า ขอบคุณทุกคนที่มาส่งผมในวันนี้ และหันหลังเข้าไปสนามบินด้านในยืนต่อแถวรอตรวจคนออกนอกเมืองกับคุณแป้ง โดยที่คุณแตงกวากับคุณกวางตามมาทีหลังเพราะกำลังร่ำลาอยู่เหมือนกัน
ผมเพิ่งรู้วันนั้นวันแรกว่าไอ้การขึ้นเครื่องบินนี่มันเหมือนวิ่งหาอะไรสักอย่างที่ต้องวิ่งไกล ๆ นะ เพราะจากด่านตรวจยันถึงตัวเครื่องนี้มันไม่ได้ใกล้ ๆ เลยนะ ผมเดากว่าประมาณกิโลเมตรหนึ่งได้เลย
ผมได้นั่งข้าง ๆ คุณกวาง แต่คุณแป้งขอย้ายที่ให้ไปนั่งข้าง ๆ กัน และให้ผมนั่งข้างหน้าต่างเพราะว่าคุณแป้งเห็นบ่อยแล้ว ผมขึ้นเป็นครั้งแรก (และยังเป็นครั้งเดียวอยู่) ไม่เคยเห็นทัศนียภาพจากบนเครื่องบินเลย มันน่าตื่นเต้นนะครับด้านนอกหน้าต่างเนี่ย ผมได้ทำความรู้จักกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในเครื่องบิน โดยมีคุณแป้งคอยสอนอยู่ข้าง ๆ ทริปนี้เราต้องนั่งกันเกือบสิบชั่วโมงเลยที่เดียว
แรก ๆ ก็ตื่นเต้น พอหลัง ๆ ไม่รู้จะทำอะไรดี อาหารอร่อยมากครับกินไม่หมดก็อิ่มแล้ว (การบินไทยครับ) นั่งมองไปมองมาก็เจอคุณแตงกวากับคุณกวาง แต่ก็ไม่ได้ทักอะไร คุณกวางตัวเล็กมาก ผมก็เห็นแอร์โฮสเตส ช่วยนู่นช่วยนี่ คงสงสัยว่าคุณกวางอายุสิบหกสิบหกกระมัง หลัง ๆ ผมก็นั่งบ้าง หลับบ้าง ตามประสาคนไม่รู้จะทำอะไรดี บางทีก็แอบมองลงไปด้านล่างบ้าง เห็นเป็นเหมือนทะเลทราย ดูในจอภาพก็เห็นว่าตอนนี้บินเหนือคาซัคสถานแล้ว
ระหว่างทางก็มีตกหลุมอากาศบ้าง ไม่น่ากลัวผมว่ามันเงียบกว่านั่งรถไฟฟ้าใต้ดินที่มอสโกหรือเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอีกนะ (ฮา) สักพักก็มีประกาศว่าเครื่องจะลงจอดแล้ว เครื่องบินกระทบพื้นสักสองสามที ผู้โดยสารตบมือกันเป็นธรรมเนียมของรัสเซีย (ผมก็เพิ่งรู้) แล้วก็ต้องเดินต่อแถวเข้าสนามบิน ดามาดิดาว่า (Domodidovo) แค่ผมเดินเข้าสายที่ต่อเครื่องบินกับสนามบินผมรู้สึกหนาวขึ้นมาทันทีเลยครับ ตายล่ะหว่า ผมไม่ได้ใส่ชุดกันหนาวมาด้วย ที่ใส่อยู่ก็เป็นเสื้อเชิต กางเกงยืน พร้อมสูทสามร้อยบาทที่ไปซื้อมาจากฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต…
กลับมาเล่าต่อถึงวันที่ไปทำวีซ่าและวันที่เริ่มพลัดพรากจากประเทศเกิดครั้งแรกครับ (ครั้งแรกจริงๆครับแม้แต่ลาว พม่า เขมรยังไม่เคยไปเลย)
ในสนามบินสุวรรณภูมิ
ช่วงที่คุณเดนิส (เจ้าหน้าที่สถานทูต) ส่งจดหมายเชิญเข้าไปทำวีซ่าที่สถานทูตรัสเซียบนถนนทรัพย์ ผมก็ได้โทรเข้าไปหาคุณแป้งเพื่อถามว่าได้รับอีเมลหรือยังในอีเมลมีชื่ออยู่ด้วยนะ คุณแป้งก็บอกว่า ยังเลยแต่ก็จะเข้าสถานทูตพร้อมกับผม คุณแตงกวาและคุณกวางด้วยเพื่อไปทำวีซ่าและขอใบรับรองว่าได้ทุนเพื่อนำไปพักการเรียนกับทาง มธ. เผื่อถ้าไปแล้วไม่ไหวจะกลับมาเรียนต่อก็ทำได้
วันที่ผมเข้าสถานทูต ผมติดรถคุณพ่อคุณแม่แตงกวาซึ่งมีคุณแตงกวาไปด้วย ไปเจอคุณแป้งที่สถานทูต (ประตูทางเข้าทำวีซ่าจะอยู่ด้านข้าง ถ้าหาไม่เจอลองถามยามได้ครับ) คุณกวางบอกว่าติดธุระมาไม่ได้เดี๋ยวจะเข้าไปวันรุ่งขึ้นคนเดียว เราสามคนเข้าไปในสถานทูตก็เจอเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง ก็ได้ไปถามไถ่ได้ความมาว่า ชื่อคุณอาร์ท จะไปเรียนแพทย์ที่วาโรเนช (Voronezh state medical academy) ผ่านทางเอเจนซี่ แต่ต้องเข้ามาทำวีซ่าเอง
ซึ่งคุณอาร์ทได้ให้ข้อคิดกับผมจำได้จนทุกถึงวันนี้ครับ ผมบอกไปว่า ผมกลัวพวกสกินเฮดหรือนีโอนาซีมาทำร้ายร่างกายขณะที่ผมเรียนอยู่รัสเซีย แต่คุณอาร์ทก็บอกว่าพวกเหยียดอ่ะไม่ว่าที่ไหนก็มี แล้วแต่ดวงว่าเราจะเจอไหม ยุโรปก็มี อเมริกาก็มี ผมก็เห็นด้วยและมีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อไปมากขึ้น หลังจากนั้นเราก็ได้แลกเบอร์อีเมลติดต่อกันกับคุณอาร์ท
ก่อนออกเดินทางถ่ายรูปกับแม่และพี่สาวซะหน่อย
การทำวีซ่าสมัยผมนั้นเตรียมแค่เงินสด และพาสปอร์ต ส่วนเอกสารอื่นๆทางสถานทูตมีครบอยู่แล้วเพราะเราเป็นเด็กทุน
หลังจากนั้นผมก็ไปซื้อกระเป๋าเดินทาง และเสื้อผ้าพวกลองจอน สเวตเตอร์ ที่ตลาดการบินไทย (ผมก็จำไม่ได้แล้วว่าไปทางไหน เคยไปครั้งเดียวเอง) เสื้อกันหนาวก็ซื้อหนา ๆ หน่อย อย่าไปเชื่อคนขายมากครับ บางร้านไม่ค่อยรู้จริงว่าตัวไหนกันหนาวได้แค่ไหน ถ้าจะซื้อเสื้อผ้ากันหนาวหาที่มันถักทอถี่ๆหน่อยครับเวลาลมพัดจะได้ไม่ผ่านลอดรูเสื้อมาทำร้ายร่างกายเรา
ผมใช้เวลาเตรียมตัวนี้สองสัปดาห์และพยายามท่องตัวอักษรรัสเซียให้ได้หมด (ซึ่งมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยหลังจากมาถึงแล้ว) ทำการพักการเรียนที่ธรรมศาสตร์ (เผื่อผมเรียนที่รัสเซียไม่ได้และอาจจะกลับไปเรียน มธ ต่อ) และได้โทรและแชทบอกเพื่อน ๆ ว่า ผมจะไปเรียนต่อที่รัสเซียแล้วนะ จะมาส่งผมด้วยกันไหมที่สนามบินสุวรรณภูมิ รวมถึงญาติ ๆ ก็ได้โทรบอกกันหมด
เพื่อนภาควิชากายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (รวมถึงคุณเบลล์ และเพื่อน ๆ เทคนิคการแพทย์อีกหลายๆคน) สร้างความประทับใจให้ผมอย่างมากเพราะทั้งภาควิชาหลังเลิกเรียนไปเลี้ยงผมที่ร้านอาหารใกล้มหาวิทยาลัย ซึ้งจริง ๆ ครับ
เพื่อน ๆ ม.ปลายที่มาส่งที่สนามบิน เพื่อนก็ใกล้จะเรียนมหาลัยจบ แต่เราต้องไปเริ่มต้นใหม่
เป็นเหมือนกันไหมครับ คืนก่อนวันที่จะออกเดินทางพยายามหลับแล้วแต่ก็หลับไม่ลง มันรู้สึกเกร็ง รู้สึกตื่นเต้น สับสนไปหมดเลย แถมยังต้องตื่นเช้าอีก ทางคุณพ่อผมได้เช่ารถตู้ไว้ให้เพื่อที่จะพาบรรดาสมาชิกครอบครัวไปส่งผมที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก็มือใหม่กันทั้งบ้านไม่รู้เลยว่าไปทางไหนอะไรยังไง ก็ต้องดูจากตั๋วเครื่องบินและโทรถามคุณแป้งเอา
พอไปถึงสนามบินสักพักก็มีญาติ ๆ มาสมทบเพิ่มด้วย ไม่ว่าจะเป็น ยายเพียรของผม น้านิด น้าแดง น้านก น้องจอย และคนอื่น ๆ อีก รวมไปถึงเพื่อนๆแสดดำ ราชวินิตบางแก้ว 6/10 ธำรงชาติ รวมไปถึงคุณพี่ตูน ที่คอยให้คำปรึกษาในขณะที่ผมศึกษามัธยมปลาย มากันอย่างคับคั่งเลยครับ ไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าเพื่อน ๆ จะมาส่งผมเยอะขนาดนี้
ผมจากลาเพื่อนๆด้วยน้ำตาคลอเบ้า และเปล่งเสียงพร้อมน้ำตาคลอเบ้าออกไปว่า ขอบคุณทุกคนที่มาส่งผมในวันนี้ และหันหลังเข้าไปสนามบินด้านในยืนต่อแถวรอตรวจคนออกนอกเมืองกับคุณแป้ง โดยที่คุณแตงกวากับคุณกวางตามมาทีหลังเพราะกำลังร่ำลาอยู่เหมือนกัน
หลังตรวจเสร็จผมกับคุณแป้งก็วิ่งไปด่านตรวจอาวุธของมีคมและของเหลว ผมได้ใส่ที่ตะไบเล็บไว้ในกระเป๋าเล็กที่ไว้ติดตัวขึ้นเครื่อง เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ได้ต้องทิ้ง ก็เลยต้องทิ้ง และเดินผ่านสินค้าปลอดภาษี ผมไม่ได้ซื้ออะไรเลยเพราะไม่รู้จะซื้ออะไรด้วย คุณแป้งแวะซื้อของบ้าง แล้วก็วิ่งกันต่อไปยังเกต
เพื่อน ๆ ม.ปลาย และญาติที่มาส่งไปเรียนต่อที่รัสเซีย
ผมเพิ่งรู้วันนั้นวันแรกว่าไอ้การขึ้นเครื่องบินนี่มันเหมือนวิ่งหาอะไรสักอย่างที่ต้องวิ่งไกล ๆ นะ เพราะจากด่านตรวจยันถึงตัวเครื่องนี้มันไม่ได้ใกล้ ๆ เลยนะ ผมเดากว่าประมาณกิโลเมตรหนึ่งได้เลย
ผมได้นั่งข้าง ๆ คุณกวาง แต่คุณแป้งขอย้ายที่ให้ไปนั่งข้าง ๆ กัน และให้ผมนั่งข้างหน้าต่างเพราะว่าคุณแป้งเห็นบ่อยแล้ว ผมขึ้นเป็นครั้งแรก (และยังเป็นครั้งเดียวอยู่) ไม่เคยเห็นทัศนียภาพจากบนเครื่องบินเลย มันน่าตื่นเต้นนะครับด้านนอกหน้าต่างเนี่ย ผมได้ทำความรู้จักกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในเครื่องบิน โดยมีคุณแป้งคอยสอนอยู่ข้าง ๆ ทริปนี้เราต้องนั่งกันเกือบสิบชั่วโมงเลยที่เดียว
แรก ๆ ก็ตื่นเต้น พอหลัง ๆ ไม่รู้จะทำอะไรดี อาหารอร่อยมากครับกินไม่หมดก็อิ่มแล้ว (การบินไทยครับ) นั่งมองไปมองมาก็เจอคุณแตงกวากับคุณกวาง แต่ก็ไม่ได้ทักอะไร คุณกวางตัวเล็กมาก ผมก็เห็นแอร์โฮสเตส ช่วยนู่นช่วยนี่ คงสงสัยว่าคุณกวางอายุสิบหกสิบหกกระมัง หลัง ๆ ผมก็นั่งบ้าง หลับบ้าง ตามประสาคนไม่รู้จะทำอะไรดี บางทีก็แอบมองลงไปด้านล่างบ้าง เห็นเป็นเหมือนทะเลทราย ดูในจอภาพก็เห็นว่าตอนนี้บินเหนือคาซัคสถานแล้ว
ระหว่างทางก็มีตกหลุมอากาศบ้าง ไม่น่ากลัวผมว่ามันเงียบกว่านั่งรถไฟฟ้าใต้ดินที่มอสโกหรือเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอีกนะ (ฮา) สักพักก็มีประกาศว่าเครื่องจะลงจอดแล้ว เครื่องบินกระทบพื้นสักสองสามที ผู้โดยสารตบมือกันเป็นธรรมเนียมของรัสเซีย (ผมก็เพิ่งรู้) แล้วก็ต้องเดินต่อแถวเข้าสนามบิน ดามาดิดาว่า (Domodidovo) แค่ผมเดินเข้าสายที่ต่อเครื่องบินกับสนามบินผมรู้สึกหนาวขึ้นมาทันทีเลยครับ ตายล่ะหว่า ผมไม่ได้ใส่ชุดกันหนาวมาด้วย ที่ใส่อยู่ก็เป็นเสื้อเชิต กางเกงยืน พร้อมสูทสามร้อยบาทที่ไปซื้อมาจากฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต…
พ่อ ลูก แม่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น