การเดินทางครั้งแรกที่แสนยาวนานจากกรุงเทพฯ สู่เมืองรัสตอฟ – ซีรี่ส์เรียนในรัสเซีย ตอนที่ 5
เขียนไว้เมื่อวันที่ 01/09/2010 ณ เมืองตูลา ประเทศรัสเซีย
พอเดินออกจากตม.มาเอากระเป๋าของผมซึ่งหาง่ายสุด เพราะสีชมพูหราอยู่คนเดียว แล้วเราก็ออกไปด้านนอกพร้อมกัน เดินหาคนมารับเราในสนามบิน เดินไปเดินมาก็เจอผู้ชายหัวทอง ๆ ถือป้ายชื่อจริงของเราสี่คนอยู่ เราสี่คนก็เข้าไปหาทักทายกัน แล้วเขาก็เดินพาไปแลกเงิน หลังจากนั้นก็ต้องจ่ายค่าตั๋วให้เขา แป้งกับแตงกวาไปวาโรเนช $150 (ดอลล่าร์สหรัฐ) ส่วนรัสตอฟ $200 (แพงมาก ตอนหลังมารู้ว่าค่ารถไฟแค่ 2000 rubles แต่ก็มาครั้งแรกถือว่าซื้อความสะดวกสบาย...มั้ง)

จนสามทุ่มรถไฟก็มาเราสี่คนพร้อมหนุ่มผมทอง (ที่เดินตัวปลิวไม่ช่วยขนกระเป๋าอันเป้งสี่อัน อันเล็กอีกนับไม่ถ้วน) ก็พากันเดินขึ้นรถไฟ รถไฟออกได้สักพักเจ้าหน้าที่รถไฟก็มาเก็บตังเพิ่ม เพราะของเยอะเกิน (ทั้งที่จริงแล้วส่วนนี้ไม่มีเก็บครับ มันเก็บเข้ากระเป๋าตัวเอง)
พอถึงสถานี Kurskskaya ประมาณเกือบเที่ยงคืน ก็ต้องขนกระเป๋าอันหนักอึ้งเกือบสิบใบ โดยที่ไอ้หนุ่มหัวทองกับผมหิวกระเป๋าใหญ่ไปก่อน แล้วไอ้หนุ่มหัวทองให้ผมรอด้านล่างชั้นใต้ดินคนเดียว เราได้ยินมาก็หนาหูว่าพวกสกินเฮดที่ทำร้ายชาวต่างชาติเยอะ มองซ้ายมองขวามันก็มีแต่หัวเตียนๆ ทำไงดีหว่า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ผมได้แต่ยืนรอเฉย ๆ แล้วสักพักผมก็ได้ยินเสียงคนไทยคุยกันแถวนั้น เดินผ่านไปก็คิดว่า พวกพี่จอยรึเปล่านะ พวกคนไทยกลุ่มนั้นก็เดินผ่านไป
สักพักเขาก็เดินกันกลับมา ผมเลยเข้าไปทัก เป็นพี่จอยจริงๆมากับพี่โซดากับพี่อีกคนซึ่งผมจำชื่อไม่ได้จริง ๆ ผมก็บอกมีของอยู่ทางนู้นอีกพี่ ๆก็ไปช่วยขน พอเสร็จแล้วก็บอกให้เราซื้อมาม่าขึ้นรถไปด้วย บนรถมีน้ำร้อน ซื้อน้ำเปล่าของกินด้วย ถ้าไม่ได้พี่จอยแนะนำ ผมคงหิวตายบนรถไฟแล้ว ผมอยู่ไทยก็ไม่เคยนั่งรถไฟด้วย นี่เป็นครั้งแรกแถมต้องนั่ง 25 ชั่วโมง มีผมกับกวางที่ไปรัสตอฟด้วยกัน ส่วนแป้งกับแตงกวาไปวาโรเนช ใช้เวลาเดินทางแค่ 8 ชั่วโมง ซึ่งเราสี่คนเลยต้องนั่งแยกรถไฟกัน
พอถึงรถไฟก็หลับปุ๋ย สักพักพนักงานตรวจตั๋วก็มาขอดูตั๋วทั้งที่พี่จอยยื่นให้แล้ว เขาก็มาถาม เราก็พูดภาษารัสเซียไม่ได้เลย แต่ได้คนข้าง ๆ พูดอังกฤษมาช่วยบ้างก็เลยรอดไป สุดท้ายพนักงานตรวจตั๋วก็คงนึกได้ว่า เขาเก็บตั๋วเราไปแล้ว แต่เอาไปใว้ในห้องเขาเอง เลยเอาตั๋วมาให้เรา -_-”
เดี๋ยวมาเล่าต่อครับ ตอนหน้าจะเป็นเรื่องชีวิตที่รัสตอฟและการเรียนปัดฟักตลอดเก้าเดือน
ปล.รูปหอที่แรกที่เข้าไปอยู่ประมาณ 3-4 วัน ห้องก็ไม่ได้ทำอะไรวางซะเละเลย ห้องก็เละอยู่แล้ว
เดินออกจากเครื่องบินมาตามท่ออะไรไม่รู้ ผมไม่รู้ชื่อเรียกที่มันต่อกับสนามบิน สั่นทั้งตัวเพราะความหนาวเหน็บ เราก็ดันบ้านนอกลืมเช็คอากาศที่รัสเซียว่ากี่องศา นึกว่าร้อนทั้งปีทั้งชาติแบบไทยเรา แต่ยังไงก็ตาม ผมสู้ความหนาวด้วยเสื้อเชิตและสูทตัวเดียวคงไม่ไหว นึกขึ้นได้ว่าคุณพ่อของผมให้สูทมาอีกตัว ตัวใหญ่มาก เลยใส่สูทที่คุณพ่อให้มาอีกหนึ่งชั้น
คนอื่นก็ดูชุดไม่ได้หนาแต่ทำไมเราหน๊าวหนาว
เนื่องจากอ่านมาจากแลนด์รัสเซียแล้วว่า ตม. รัสเซียทำงานช้ามาก..ก…ก..กกก ทั้งสี่คน ภู กวาง แป้ง แตงกวา ก็เลยวิ่งหน้าตั้ง ขนตั้ง (หนาว) ไปต่อแถวคนแรก ๆ แต่ก็ยังเสร็จช้า ถึงประมาณห้าโมงเย็นเสร็จประมาณหกโมงเย็น..นี่แหละรัสเซีย (มาตอนนี้ก็คิดว่าไม่ช้ามากนะ)
พอเดินออกจากตม.มาเอากระเป๋าของผมซึ่งหาง่ายสุด เพราะสีชมพูหราอยู่คนเดียว แล้วเราก็ออกไปด้านนอกพร้อมกัน เดินหาคนมารับเราในสนามบิน เดินไปเดินมาก็เจอผู้ชายหัวทอง ๆ ถือป้ายชื่อจริงของเราสี่คนอยู่ เราสี่คนก็เข้าไปหาทักทายกัน แล้วเขาก็เดินพาไปแลกเงิน หลังจากนั้นก็ต้องจ่ายค่าตั๋วให้เขา แป้งกับแตงกวาไปวาโรเนช $150 (ดอลล่าร์สหรัฐ) ส่วนรัสตอฟ $200 (แพงมาก ตอนหลังมารู้ว่าค่ารถไฟแค่ 2000 rubles แต่ก็มาครั้งแรกถือว่าซื้อความสะดวกสบาย...มั้ง)
แล้วหนุ่มผมทองก็พาเดินไปสถานีที่รอรถไฟเข้ามอสโก (เมืองที่ลงชื่อเมือง Domodedovo เหมือนชื่อสนามบิน ซึ่งอยู่ห่างจากมอสโกพอสมควร) รถไฟจะมาประมาณสามทุ่ม กวางนี่เดินหาซิมการ์ดให้วุ่นเลย ไปถามร้านขายมือถือแถวนั้นได้ความมาว่า ซิมละ $100 -_-” ก็เลยไม่ซื้อกันเนื่องจากแพงไปและพอออกจากแคว้นมอสโกไปก็จะมีเรตค่าโทรทางไกล เราสี่คนก็เลยขอยืมโทรศัพท์ตาหัวทอง โทรไปหาพี่จอย พี่จอยก็บอกจะมาส่งที่สถานีรถไฟ Kurskskaya
หลังจากนั้นก็นั่งรอรถไฟจนกว่าจะถึงสามทุ่ม ก็หิวน้ำกัน แป้งก็เลยไปซื้อน้ำมา แต่ดันเป็นน้ำแบบมีก๊าซแบบน้ำโซดาอีก ก็เลยต้องไปซื้อมาใหม่แบบไม่มีก๊าซ ใครมารัสเซียเวลาซื้อน้ำ ให้สั่งด้วยนะว่าไม่เอาก๊าซ ฮา ๆๆ ไม่งั้นได้ดื่มโซดาแทนแน่ ๆ
หลังจากนั้นก็นั่งรอรถไฟจนกว่าจะถึงสามทุ่ม ก็หิวน้ำกัน แป้งก็เลยไปซื้อน้ำมา แต่ดันเป็นน้ำแบบมีก๊าซแบบน้ำโซดาอีก ก็เลยต้องไปซื้อมาใหม่แบบไม่มีก๊าซ ใครมารัสเซียเวลาซื้อน้ำ ให้สั่งด้วยนะว่าไม่เอาก๊าซ ฮา ๆๆ ไม่งั้นได้ดื่มโซดาแทนแน่ ๆ

น้ำธรรมดาที่ราคาไม่ธรรมดา
จนสามทุ่มรถไฟก็มาเราสี่คนพร้อมหนุ่มผมทอง (ที่เดินตัวปลิวไม่ช่วยขนกระเป๋าอันเป้งสี่อัน อันเล็กอีกนับไม่ถ้วน) ก็พากันเดินขึ้นรถไฟ รถไฟออกได้สักพักเจ้าหน้าที่รถไฟก็มาเก็บตังเพิ่ม เพราะของเยอะเกิน (ทั้งที่จริงแล้วส่วนนี้ไม่มีเก็บครับ มันเก็บเข้ากระเป๋าตัวเอง)
พอถึงสถานี Kurskskaya ประมาณเกือบเที่ยงคืน ก็ต้องขนกระเป๋าอันหนักอึ้งเกือบสิบใบ โดยที่ไอ้หนุ่มหัวทองกับผมหิวกระเป๋าใหญ่ไปก่อน แล้วไอ้หนุ่มหัวทองให้ผมรอด้านล่างชั้นใต้ดินคนเดียว เราได้ยินมาก็หนาหูว่าพวกสกินเฮดที่ทำร้ายชาวต่างชาติเยอะ มองซ้ายมองขวามันก็มีแต่หัวเตียนๆ ทำไงดีหว่า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ผมได้แต่ยืนรอเฉย ๆ แล้วสักพักผมก็ได้ยินเสียงคนไทยคุยกันแถวนั้น เดินผ่านไปก็คิดว่า พวกพี่จอยรึเปล่านะ พวกคนไทยกลุ่มนั้นก็เดินผ่านไป
สักพักเขาก็เดินกันกลับมา ผมเลยเข้าไปทัก เป็นพี่จอยจริงๆมากับพี่โซดากับพี่อีกคนซึ่งผมจำชื่อไม่ได้จริง ๆ ผมก็บอกมีของอยู่ทางนู้นอีกพี่ ๆก็ไปช่วยขน พอเสร็จแล้วก็บอกให้เราซื้อมาม่าขึ้นรถไปด้วย บนรถมีน้ำร้อน ซื้อน้ำเปล่าของกินด้วย ถ้าไม่ได้พี่จอยแนะนำ ผมคงหิวตายบนรถไฟแล้ว ผมอยู่ไทยก็ไม่เคยนั่งรถไฟด้วย นี่เป็นครั้งแรกแถมต้องนั่ง 25 ชั่วโมง มีผมกับกวางที่ไปรัสตอฟด้วยกัน ส่วนแป้งกับแตงกวาไปวาโรเนช ใช้เวลาเดินทางแค่ 8 ชั่วโมง ซึ่งเราสี่คนเลยต้องนั่งแยกรถไฟกัน
พอถึงรถไฟก็หลับปุ๋ย สักพักพนักงานตรวจตั๋วก็มาขอดูตั๋วทั้งที่พี่จอยยื่นให้แล้ว เขาก็มาถาม เราก็พูดภาษารัสเซียไม่ได้เลย แต่ได้คนข้าง ๆ พูดอังกฤษมาช่วยบ้างก็เลยรอดไป สุดท้ายพนักงานตรวจตั๋วก็คงนึกได้ว่า เขาเก็บตั๋วเราไปแล้ว แต่เอาไปใว้ในห้องเขาเอง เลยเอาตั๋วมาให้เรา -_-”
รถไฟแวะไหนเราก็ลงนั่น ไม่กลัวอะไรกันเลย (ทั้งที่สมควรจะกลัว) ผมกับกวางมาต่างประเทศครั้งแรกกันทั้งคู่เลย ก็พากันไปแบบงง ๆ มึน ๆ กันตลอดทาง นั่งไปก็ถามคนรัสเซียไปว่าถึงรัสตอฟเมื่อไหร่ ๆ ซึ่งคำตอบที่ได้แต่ละครั้งก็ฟังไม่เข้าใจเลย แต่คุณป้า คุณยายเหล่านั้นก็พยายามอธิบายเหมือนกับว่าถ้าอธิบายซ้ำแล้วเราจะตรัสรู้เข้าใจภาษารัสเซียเองได้ 555 ระหว่างทางคุณยายก็ให้ขนมพวกเรามา แม้จะเป็นของเล็กน้อยแต่มันก็ลบคำว่าคนรัสเซียไม่เป็นมิตรที่เคยได้ยินมาไปบ้าง
หลังจากนั่งรถไฟอันแสนยาวนาน 25 ชั่วโมง ตีหนึ่งของวันที่ 15 ก.ย. 2550 ผมและกวางก็ถึงรัสตอฟ ลืมบอกไปว่าบนรถไฟ เจ้าหน้าที่เก็บค่ากระเป๋าเยอะหลายรอบมาก (ทั้งที่ตรงส่วนนี้ไม่มีการเก็บเพิ่มเติมเลย) พอลงก็ต้องจ่ายพนักงานรถไฟอีก เขาบอกเป็นค่าดูแลเราสองคน (ดูแลบ้าไร ไม่เห็นดูแลเลย กระเป๋าก็ขนขึ้นลงเอง) มีคนจากมหาวิทยาลัย Rostov state medical university มารับที่สถานีรถไฟ เราต้องนั่งรถแท็กซี่ของรัสเซีย (รถยี่ห้อ Zhiguli หรือ Lada ก็ไม่แน่ใจ) รถก็เล็กกระเป๋าก็สี่ใบ ใบใหญ่สองใบ ใบเล็กอีกสองใบ ผมกับกวางอีก รู้สึกคับแคบไปเลย
นั่งรถพอไปถึงนึกว่าเป็นที่ทิ้งร้าง เศษแก้วแตกตรงฟุตบาทและหน้าหอ หอก็เก่า ๆ เข้าไปด้านในแล้วกลิ่นเครื่องเทศเข้ามาประทะหน้าเลย จะร้องไห้ ไม่ประทับใจเลย ส้วมยังเป็นส้วมหลุม ก่อเจเดีย์ทองกันสวยงามมากมาย กลิ่นไม่น่าพิศมัยมาก มีแต่คนอินเดีย แต่คนอินเดียก็ดี ตีสองตีสามแล้วก็มาช่วย มาพูดคุยด้วยให้ยืมโทรศัพท์ โทรไปหาพี่มุก (แสนสวยจิตใจงามระเบิดระเบ้อ) แม้ตีสามแล้วพี่เขาก็รับสายเสียงใส ๆ น่ารัก ๆ (ฮาา)
ผมได้ห้องที่เขาบอกว่า จะมีรูมเมตเป็นชาวลาตินอเมริกา แต่พอเข้าไปไม่มีใครเลยมีแต่แมลงสาบวิ่งกันวุ่นวาย เตียงก็ว่างเปล่า มีเสื้อโค้ทเก่า ๆ จานชาม หม้อไหเก่า ๆ ทิ้งอยู่ แต่หลังจากนั้นก็มีรูมเมตชาวเวียดนามมาอยู่ด้วย 3 คน ไม่รู้ว่ามันเป็นประเทศลาตินอเมริกาตรงไหน
หลังจากนั่งรถไฟอันแสนยาวนาน 25 ชั่วโมง ตีหนึ่งของวันที่ 15 ก.ย. 2550 ผมและกวางก็ถึงรัสตอฟ ลืมบอกไปว่าบนรถไฟ เจ้าหน้าที่เก็บค่ากระเป๋าเยอะหลายรอบมาก (ทั้งที่ตรงส่วนนี้ไม่มีการเก็บเพิ่มเติมเลย) พอลงก็ต้องจ่ายพนักงานรถไฟอีก เขาบอกเป็นค่าดูแลเราสองคน (ดูแลบ้าไร ไม่เห็นดูแลเลย กระเป๋าก็ขนขึ้นลงเอง) มีคนจากมหาวิทยาลัย Rostov state medical university มารับที่สถานีรถไฟ เราต้องนั่งรถแท็กซี่ของรัสเซีย (รถยี่ห้อ Zhiguli หรือ Lada ก็ไม่แน่ใจ) รถก็เล็กกระเป๋าก็สี่ใบ ใบใหญ่สองใบ ใบเล็กอีกสองใบ ผมกับกวางอีก รู้สึกคับแคบไปเลย
นั่งรถพอไปถึงนึกว่าเป็นที่ทิ้งร้าง เศษแก้วแตกตรงฟุตบาทและหน้าหอ หอก็เก่า ๆ เข้าไปด้านในแล้วกลิ่นเครื่องเทศเข้ามาประทะหน้าเลย จะร้องไห้ ไม่ประทับใจเลย ส้วมยังเป็นส้วมหลุม ก่อเจเดีย์ทองกันสวยงามมากมาย กลิ่นไม่น่าพิศมัยมาก มีแต่คนอินเดีย แต่คนอินเดียก็ดี ตีสองตีสามแล้วก็มาช่วย มาพูดคุยด้วยให้ยืมโทรศัพท์ โทรไปหาพี่มุก (แสนสวยจิตใจงามระเบิดระเบ้อ) แม้ตีสามแล้วพี่เขาก็รับสายเสียงใส ๆ น่ารัก ๆ (ฮาา)
ผมได้ห้องที่เขาบอกว่า จะมีรูมเมตเป็นชาวลาตินอเมริกา แต่พอเข้าไปไม่มีใครเลยมีแต่แมลงสาบวิ่งกันวุ่นวาย เตียงก็ว่างเปล่า มีเสื้อโค้ทเก่า ๆ จานชาม หม้อไหเก่า ๆ ทิ้งอยู่ แต่หลังจากนั้นก็มีรูมเมตชาวเวียดนามมาอยู่ด้วย 3 คน ไม่รู้ว่ามันเป็นประเทศลาตินอเมริกาตรงไหน
ทางเข้าอาคารที่เรียนปีเตรียมพื้นฐาน
เดี๋ยวมาเล่าต่อครับ ตอนหน้าจะเป็นเรื่องชีวิตที่รัสตอฟและการเรียนปัดฟักตลอดเก้าเดือน
ปล.รูปหอที่แรกที่เข้าไปอยู่ประมาณ 3-4 วัน ห้องก็ไม่ได้ทำอะไรวางซะเละเลย ห้องก็เละอยู่แล้ว
หน้าประตูและมรดกจากรุ่นก่อน เปิดประตูห้องมาแมลงสาบร่วงเพียบ
เตียงยุบ ๆ กับผ้าปูเตียงบางๆ
ข้าวของที่เอามาจากไทย ห้องแบบนี้ไม่มีกระจิตกระใจอยู่ต่อ
หน้าต่าง 2 ชั้น กันอะได้บ้าง
ทางเดิน นี่หรือหอพักนศ.แพทย์
ทางเดินอีกมุม
ห้องน้ำจ้า ประตูไม่มี ความสกปรกให้เกินร้อย
ห้องล้างอเนกประสงค์ ล้างได้ทุกอย่าง
น้องแมลงสาบที่มานอนด้วยในคืนแรก ๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น