จะไปต่อหรือพอแค่นี้ – ซีรี่ส์เรียนในรัสเซีย ตอนที่ 9

เขียนไว้เมื่อ 12/4/2025

การเรียนแพทย์สองปีผ่านไปได้อย่างที่เรียกได้ว่า ไม่ได้แย่ซะทีเดียว เพราะก็มีวิชาที่ทำได้ดี ซึ่งส่วนมากไม่เกี่ยวกับการแพทย์เลย 5555 พอขึ้นปี 2 ก็ทำกิจกรรมเยอะมาก รวมไปถึงเริ่มทำเว็บไซต์หมีขาวรัสเซียที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเรียน การทำงาน การใช้ชีวิตในรัสเซีย ซึ่งช่วงนั้นเป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับรัสเซียเป็นภาษาไทยเป็นอันดับต้น ๆ เชียวนะ จนสถานทูตไทยในมอสโกนำลิ้งก์ขึ้นเว็บไซต์ทางการ ได้ทำธุรกิจที่ปรึกษาแนะแนวเรียนต่อประเทศรัสเซีย ซึ่งส่วนมากก็มาเรียนแพทย์กัน 

ถ่ายกับป้ายสถาบันแพทย์ตูลา

ตอนปีสองก็ได้ไปขึ้นทะเบียนรายบุคคลและมหาวิทยาลัยที่เราเรียนกับแพทยสภาไทยไว้ด้วย ช่วงนั้นหลักสูตรแพทย์ในต่างประเทศต้องได้รับการพิจารณาและตรวจสอบเข้มเพื่อที่จะได้รับการรับรองหลักสูตรจากแพทยสภาไทย พอหลักสูตรได้รับการรับรองและผู้เรียนก็ต้องขึ้นทะเบียนให้แพทยสภาทราบว่าเราเรียนอยู่ในหลักสูตรนั้นและมีการตรวจสอบหลักสูตรเป็นระยะๆ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสูตรแพทย์ในไทย เราก็ต้องประสานงานกับมหาวิทยาลัยให้ส่งคำตอบ บางครั้งก็ต้องช่วยแปลเป็นภาษาอังกฤษและตรวจสอบ ขอข้อมูลเองและสรุปเป็นภาษาไทยส่งให้แพทยสภา จนแล้วจนรอดก็ได้ขึ้นทะเบียนเสร็จสิ้น

สามแยกแถวจตุรัสในเมืองตุลา

พอขึ้นปี 3 วิชาก็เริ่มหนักขึ้น เริ่มเรียนวิชาพรีคลินิกที่ต้องไปเรียนในโรงพยาบาล แล้วแต่ละวิชาไม่ได้เรียนโรงพยาบาลเดียวกัน บางวิชาโรงพยาบาลอยู่สุดเขตเมืองทางตะวันตกแล้วก็ต้องนั่งไปอีกฝั่งทางตะวันออกในอีกวิชา ยิ่งหน้าหนาว หิมะสูงท่วมหัวในบางที่ บรรยากาศก็หดหู่ อีกทั้งยังไปเรียนไม่ทันเพราะไม่ทันขึ้นรถเมล์ก็พาลทำให้ชีวิตการเรียนในรัสเซียยากไปอีก มีวิชาหนึ่งที่มีกฎเหล็กคือ วิชาอายุรศาสตร์ ห้ามขาดเกิน 2-3 ครั้ง

ร่วมกิจกรรมกับภาควิชาภาษารัสเซียในสถาบันแพทย์ตูลา

ถ้าไม่มีสิทธิ์สอบวิชาหนึ่ง ก็เป็นเรื่องยากที่จะจบเทอมและทุนก็จะสิ้นสุดลง ด้วยความที่ยังอยากอยู่ต่อเลยต้องขอลาพักเรียนในปีนั้น ซึ่งมันก็เป็นเรื่องยากอีกที่จะลาพักเรียนไปเฉย ๆ ต้องมีเหตุจำเป็น เช่น ป่วยหนัก หรือ อะไรสักอย่างที่ร้ายแรง สิ่งที่นักศึกษาทำส่วนใหญ่ก็คือจะไปขอให้หมอเขียนใบรับรองแพทย์ให้รักษาตัวระยะยาวซึ่งทำกันเป็นธุรกิจสีเทา มีราคาค่อนข้างสูงในเวลานั้น เราไม่มีทางเลือกอื่นก็เลยต้องใช้บริการธุรกิจสีเทานี้ หมอก็ให้ไปเอ็กเรย์ ตรวจอะไรต่าง ๆ ซึ่งตอนแรกบอกว่าจะให้เป็นหมอนรองกระดูกบางและลาพักเรียนสักเทอม แต่พอเอ็กเรย์จริงดันมีหมอนรองกระดูกหนึ่งที่บางจริงแต่ก็ไม่ได้ออกอาการอะไร แต่ก็เป็นหลักฐานชั้นดีในการขอลาพักเรียน

ปี 2011 จึงเป็นปีแรกที่ได้กลับไทยในรอบ 3.5 ปี เพื่อรอเวลาเทอมใหม่ ช่วงนั้นก็กลับไทยเที่ยวฉ่ำ เดินทางเจอเพื่อนๆ ทั้งสมัยม.ปลายและมหาวิทยาลัย รวมไปถึงเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เคยคุยกันผ่านแชทออนไลน์ตั้งแต่อยู่ที่รัสเซีย อีกด้านก็มีความรู้สึกดิ่งดาวน์ แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าเรายังมีหวังอีกรอบนะ ต้องทำให้ได้ 

ได้ลองช่วยมหาวิทยาลัยตูลารับคนไทยที่อยากเรียนที่รัสเซียมา แล้วเว็บไซต์ที่เราทำก็เข้าถึงคนส่วนหนึ่ง มีคนไทยได้ทุนแพทย์รัสเซียช่วงนั้นเยอะมาก พอบินกลับมาก็มางานพาเหรดคึกคักมาก รู้สึกไม่เหงา ต้องทำนู่นทำนี่ พอปีใหม่ก็มีน้องๆ ที่ได้ทุนแพทย์มาหาที่ตูลาอีก มีความสุขสนุกสนานมาก

ทีมร่วมทำเว็บหมีขาวรัสเซีย.คอม ถ่ายภาพร่วมกับพี่เมย์ เลขาทูต (ตำแหน่ง ณ ตอนนั้น)

เรากับน้องๆ คนไทยที่เราทำเรื่องมาเรียนให้ในขบวนพาเหรดวันนศ.นานาชาติ ภูมิใจมากกก

มีวันหนึ่งที่ทางมหาวิทยาลัยตามหาตัวเราบอกว่าตำรวจต้องการคุยด้วย เราคิดในใจเอาแล้วไปทำอะไรผิดมาปะว้า แต่ก็คิดว่าไม่ใช่ พอได้คุยแล้วตำรวจบอกว่ามีผู้ต้องหาชาวไทย อยากให้ไปเป็นล่ามภาษาไทยให้หน่อย เราก็เลยโล่งใจ สรุปเลยก็คือมีพี่คนไทยถูกร้านนวดไทยที่เมืองตูลานี่แหละจ้างมาจากไทย แต่ทางร้านไม่ยอมทำเอกสารให้ถูกต้องให้จบ พี่คนไทย 2 คนเลยโดนข้อหาอยู่เกินวีซ่าและทำงานผิดกฎหมาย ทั้งที่นายจ้างสัญญาว่าจะทำเอกสารให้ถูกต้องและทำเรื่องผ่านกรมแรงงานไทยมาด้วย พอสุดท้ายทางตำรวจก็ปล่อยตัวโดยให้เก็บของกลับไทยในระยะเวลาที่กำหนดและถูกแบนเข้าประเทศเป็นระยะเวลาจำนวนหนึ่งซึ่งจำไม่ได้แล้วว่ากี่ปี เรื่องก็จบแบบไม่แย่มากและเราก็ดีใจที่เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยคนไทยที่โดนเอาเปรียบที่นี่

รอยยิ้มของพี่ทั้งสองคนที่รับการปล่อยตัวหลังจากได้โดนจับแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่

แต่พอถึงฤดูหนาวก็เข้าอารมณ์เดิมและไม่อยากตื่นไปเรียนในรพ. วิชาอายุรศาสตร์ก็ขาดเกินที่เขากำหนดเหมือนเดิม เลยลองทำเรื่องขอย้ายสาขาไปจิตวิทยาพัฒนาการในเทอมที่ 2 พอเข้าไปครั้งแรกรู้สึกอิหยังวะ ไม่รู้เรื่องเลย เหมือนคนละโลก แถมยังมีวิชาที่ต้องเก็บให้ทันตามเขาอีก 16 วิชา และต้องสอบผ่านภายในเทอมนั้นให้หมด ก็เลยกลับมาคิดว่าจะขอย้ายมหาวิทยาลัยไปเรียนแพทย์เหมือนเดิมดีไหม ลองติดต่อมหาวิทยาลัย Saint-Petersburg State Pediatric Medical University ไปเพื่อย้ายไปสาขา Pediatry ที่เราเองคิดว่ามันจะขอเทียบวุฒิแพทยศาสตร์กับแพทยสภาในไทยได้ ซึ่งเขาก็ตอบกลับมาว่าถ้ามีจดหมายทางการจากกระทรวงศึกษาธิการรัสเซีย ก็ดำเนินการย้ายมหาวิทยาลัยและสาขาเรียนและยังอยู่ในทุนได้ 

น้องๆ นศ.แพทย์ไทยอีกกลุ่มที่ได้ทุนรัฐบาลรัสเซียมาเยี่ยมในวันปีใหม่

ผมเลยติดต่อสถานทูตไทยในมอสโกให้ช่วย ทางพี่ตั้ม เจ้าหน้าที่สถานทูตตอนนั้นก็ช่วยติดต่อประสานงานกับมหาวิทยาลัยเป็นอย่างดี ทางมหาวิทยาลัยปลายทางก็ออกหนังสือทางการมาให้ว่ายินดีรับแต่ต้องมีเอกสารจากกระทรวงศึกษาธิการเหมือนเดิม ซึ่งก็ไม่รู้จะติดต่ออย่างไร (ซึ่งตอนหลังมีรุ่นน้องสามารถทำได้และเรียนจนจบแพทย์) ก็เคยคิดว่าถ้าย้ายกลับแบบมาจ่ายด้วยตัวเองจะดีไหม แต่คิดไปคิดมาเงินที่มีก็ไม่น่าพอ เพราะค่าเทอมค่อนข้างแพงเลยทีเดียว ก็เลยมองหามหาวิทยาลัยที่เปิดหลักสูตรแพทย์และมีราคาที่เราคิดว่าจะสามารถจ่ายเองได้ จากค่าดำเนินการที่เราเก็บมาจากนักเรียนคนไทยที่มาเรียนที่รัสเซียผ่านทางเรา

มีไม่กี่ที่ที่ราคาพอเอื้อมถึงและคิดว่าเอาเงินเก็บนั้นมาจ่ายได้จนเรียนจบที่หนึ่งคือ Izhevsk State Medical Academy และอีกที่ที่ดูคือ ม.แพทย์ในประเทศคีร์กิซสถาน ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้ภาษารัสเซียเป็นหลักอีกประเทศหนึ่งและมีค่าเรียนแพทย์ที่ถูกมาก จริงๆ ก็มีอีกหลายๆ ที่ที่ติดต่อเข้าไปแต่ก็ไฟนอลมา 2 ที่ คือที่ Izhevsk และ Kyrgyz Russian Slavic University ที่เมือง Bishkek ประเทศคีร์กิซสถาน

ใช้เวลาติดต่อทั้ง 2 ที่เยอะมากโดยมียูเลียช่วยติดต่อคุยกับมหาวิทยาลัยให้ และตอนที่ได้หนังสือตอบรับเข้าเรียนที่ Bishkek ก็ได้รู้จักกับซาช่า นักศึกษาสาวที่เรียนหมออยู่ที่มหาวิทยาลัยที่เราสมัครและอาสาช่วยไปรับเอกสารและส่งมาให้เรา แต่จนแล้วจนรอดเราก็ต้องเลือกที่เดียวซึ่งเป็นที่ Izhevsk

Tri Shtyka Monument

รถ Trolley Bus และรถราง Tramvai ที่ใช้เดินทางไปเรียน

รถเมล์และรถตู้ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเดินทาง พอจะลงก็ต้องตะโกนว่า На следующей, пожалуйста (จอดป้ายถัดไปด้วยครับ)

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม